เมนู

ว่าด้วยเสกขติกะที่ 11



พึงทราบวินิจฉัยในหมวด 3 แห่งเสกธรรม ต่อไป.
ชื่อว่า เสกขะ เพราะเกิดแล้วในสิกขา 3 ดังนี้บ้าง ชื่อว่า เสกขะ
เพราะเป็นธรรมของพระเสกขะ 7 ดังนี้บ้าง ชื่อว่า เสกขะ เพราะกำลังศึกษา
อยู่โดยยังไม่สำเร็จการศึกษานั่นแหละ. ชื่อว่า อเสกขะ เพราะไม่ต้องศึกษา
เพราะไม่มีสิ่งที่พึงศึกษาให้ยิ่งขึ้นไปอีก. อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า อเสกขะ เพราะ
พระอเสกขบุคคลถึงความเจริญที่สุดแล้ว. ค่าว่า อเสขะ นี้ เป็นชื่อของธรรม
คืออรหัตผล. บทที่ 3 ท่านกล่าวไว้โดยปฏิเสธ 2 บทข้างต้น.

ว่าด้วยปริตติกะที่ 12



พึงทราบวินิจฉัยในหมวด 3 แห่งปริตตธรรม ต่อไป.
วัตถุมีประมาณน้อย เรียกว่า ปริตตะ เพราะเป็นของแตกหักไป
รอบด้าน เหมือนในประโยคมีอาทิ ปริตฺตํ โคมยปิณฺฑํ (ก้อนขี้วัวเล็กน้อย)
แม้ธรรมเหล่านี้ ก็เปรียบเหมือนของเล็กน้อย เพราะฉะนั้น จึงชื่อ ปริตตะ
เพราะมีอานุภาพน้อย. คำว่า ปริตตะ นี้ เป็นชื่อของกามาวจร. ธรรมที่
ชื่อว่า มหัคคตะ เพราะอรรถว่า ถึงความเป็นใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลส
เพราะมีผลไพบูลย์ และเพราะความสืบต่อยาวนาน หรือว่า บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว
ถึงความเป็นผู้ประเสริฐ ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ ปัญญา ดังนี้บ้าง. ธรรม
ทั้งหลายมีราคะเป็นต้นกระทำให้มีประมาณ ชื่อว่า ประมาณธรรม ธรรม
ทั้งหลายที่ชื่อ ไม่มีประมาณ เพราะอรรถว่าประมาณธรรมไม่มีแก่ธรรมเหล่านี้
โดยอารมณ์ หรือโดยสัมปโยคะ และเป็นธรรมปฏิเสธประมาณธรรม.